ความจริงที่ควรรู้สำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์ (เตรียมคลอด) ??

          เมื่อเราได้รับรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตเล็กๆเกิดขึ้นในตัวของเรา ความปลื้มปริ่ม ก็เกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูกเลย จะพูดว่าอย่างไรดี จะดีใจที่จะมีคนอยู่ข้างๆ จะเสียใจที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง จะเจ็บไหมนะ หรือจะรู้สึกสับสนกับการทำตัวเป็นคุณแม่ที่ดีได้อย่างไร? วันนี้แอดมินในฐานะที่เป็นคุณแม่คนนึง ก็จะขอแชร์แบ่งปันความเชื่อที่หลากหลายบ้านอาจเคยได้ยินมา หรือไม่เคยก็ตามที ดูสิว่าจะมีแบบไหน บ้างค่ะ

1. ท้องแล้วควรบำรุงให้สุดๆไปเลย
          อันที่จริงแล้วร่างกายของคนเรามีการเผาผลาญพลังงานจากการกินเข้าไปในทุกๆวันอยู่แล้ว การที่เรามีเจ้าตัวน้อยในท้องของเราไม่ได้แปลว่าเราจะต้องกินอาหารเพิ่มเป็นสองเท่าหรืออย่างไร แต่อยากให้คุณแม่เข้าใจว่าอาหารที่ทานเข้าไปทุกสิ่งก็จะถูกส่งต่อให้ลูกน้อยด้วยเช่นเดียวกัน
          ฉะนั้นแอดมินจึงขอแนะนำให้คุณแม่เลือกทานแต่สิ่งที่มีประโยชน์ (สิ่งนี้ถึงแม้ว่าจะดูง่ายๆ พูดได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่กระนั้นมันอาจจะทำได้ยากในบางครอบครัว) อาทิเช่น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ งดคาเฟอีน เครื่องดื่มมึนเมา หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะอาหารที่ทานเข้าไป หากเหลือจะถูกแปรมาเป็นไขมันส่วนเกินของคุณแม่นั่นเอง (ลำบากต้องมาลีนออกหลังคลอดอีกนะ)
          อีกอย่าง อาหารที่อยากให้เน้น คืออาหารประเภทบำรุงเลือด สร้างสมอง กล้ามเนื้อ วิตามินที่มีประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในพวกพืชผักนั่นแหละ ทานได้แต่ดูเรื่องความสะอาดด้วยนะคะ
          ที่สำคัญสุดๆสำหรับเรื่องอาหารอย่างที่กล่าวไปในหัวข้อคือ ควรจะกินๆๆ เยอะๆ บำรุงเยอะๆไปเลยดีไหม เช่น ปกติดื่มนมวันละแก้ว ก็กินเป็นวันละ 3 แก้ว หรือจากไม่เคยดื่มเลย ก็ดื่มเอาๆ ซึ่งจะบอกตรงนี้เลยว่าไม่ดีเสมอไปหรอกนะคะ เพราะการที่ร่างกายไม่เคยรับอาหารประเภทนั้นๆ หรือรับรู้ว่าเราเคยทานประเภทนั้นๆเท่าเดิม แล้วอยู่ดีๆก็มามีพฤติกรรมทานที่ต่างไป ทำให้ร่างกายรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นภัยกับร่างกาย โชคดีหน่อย ร่างกายก็คิดว่าอ่อแค่รับอาหารมามากกว่าปกติ งั้นสะสมเป็นไขมันส่วนเกินละกัน แต่ถ้าโชคร้าย อาจส่งผลกับลูกน้อยก็เป็นได้
          แอดมินเคยพบลูกค้าหลายคนมาปรึกษา พบว่าลูกแพ้อาหารบางประเภท ตั้งแต่เกิดเลย ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการที่รับประทานอาหาร สุดโต่งเกินไป ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีกับตัวลูกน้อย แต่กระนั้น ก็พบว่าบางสาเหตุก็ไม่ได้เกิดจากการทานอาหารซะอย่างเดียวเสมอไป อาจจะเกิดจากภาวะครรภ์ ,สิ่งแวดล้อม ,พันธุกรรม ฯลฯ จึงขอฝากให้เป็นข้อคิดว่า การรับประทานอาหารแต่ละอย่าง รับแต่พอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ไม่สุดโต่งเกินไป เท่านี้ลูกน้อยก็แข็งแรงปลอดภัยไร้โรค รวมถึงคุณแม่ก็มีสุขภาพที่ดีเช่นเดียวกันค่ะ

2. คุณแม่ มีสุขภาพจิตที่ขึ้นๆลงๆ (เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย)
          บ้านไหน มีคุณแม่ตั้งท้องแล้วเป็นบ้างคะ? ขอดูมือหน่อยย...
          ความเป็นจริงแล้ว สุขภาพจิตดีหรือไม่ดี สาเหตุหลักๆเลย ไม่ได้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์นักหรอกค่ะ จะเกี่ยวกับภาวะความเครียดของคุณแม่ซะมากกว่า อาทิเช่น การเดินที่ลำบากขึ้น ,การใช้ชีวิตที่เคยง่ายๆสบายๆก็ยากขึ้นบ้าง ,การกิน ,การเที่ยว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่จะส่งผลให้คุณแม่มีภาวะที่มีอารมณ์แปรปรวนง่าย ผนวกกับฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แล้ว ก็ยิ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้คุณแม่มีอารมณ์แบบนี้เช่นเดียวกัน สิ่งที่คุณแม่จะทำได้ง่ายๆ (พูดง่าย แต่เหมือนจะทำยากยิ่ง) นั่นคือทำใจให้สบาย ปล่อยวาง (หายใจเข้า-ออกลึกๆ) คิด ฟัง พูด ดี ดูแต่สิ่งที่เจริญหูเจริญตา เหมือนที่คนโบราณให้ดูรูปเด็กน่ารักๆอย่างไงหละคะ จริงๆเพื่อส่งให้สุขภาพจิตดี เห็นอะไรก็สดใส
          แต่ทั้งนี้ คุณแม่เพียงคนเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ จึงควรจะมีการร่วมมือกันในครอบครัวด้วย บางบ้านเป็นครอบครัวขนาดเล็ก มีแค่คุณพ่อ ก็ให้คุณพ่อ มีอารมณ์ร่วมด้วย ทำบรรยากาศให้น่ารื่นรมย์ สุขภาพจิตดี หากบางบ้านเป็นครอบครัวใหญ่อาจจะมีอะไรแทรกเข้ามาบางทีทำให้คุณแม่มีอารมณ์เศร้า หากเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจะคิดบวกเข้าไว้ ใช้ได้ทุกสถาณการณ์ แน่นอน

3. ห้ามเตรียมของก่อนคลอด เค้าถือ..
          ก่อนอื่นต้องท้าวความว่า การเตรียมของก่อนคลอดในสมัยก่อน (โบราณมากๆ) นั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งตรงนี้แอดมินก็เห็นด้วย เพราะว่าสมัยก่อนนั้นเทคโนโลยี ยังไม่มีมากพอ(ไม่ทันสมัย) ดูง่ายๆ เหมือนภาพยนตร์เรื่อง แม่นาค ที่ตั้งท้องแล้วคลอดลำบากขนาดไหน นั่นแหละค่ะ คือคำที่คนเค้าบอกว่า ห้ามเตรียมของก่อนคลอด
          เพราะในสมัยนั้นการแพทย์ ก็จัดว่ายากยิ่ง จะให้ตรวจสอบคุณภาพของลูกน้อย ว่าแข็งแรงไหม? อวัยวะครบไหม? คลอดวันไหน? เพศอะไร? ฯลฯ แทบว่าอัตราเป็น 0 เลย สุ่มเสี่ยงกันเอาเอง ฉะนั้นเค้าถึงได้ปรามว่า ไม่ควรซื้อก่อนคลอดนะ เพราะอาจจะซื้อมาแล้วไม่ตรงกับการใช้งานจริง (สิ้นเปลืองเปล่าๆ) คลอดแล้วค่อยซื้อก็ไม่สาย
          แต่ในสมัยนี้ การแพทย์แทบจะล้ำสุดๆ ตรวจได้ทุกอย่าง แถมง่ายๆปลอดภัยทั้งแม่ลูกด้วย อยู่ในมือหมอแล้ว ยังไงลูกเราก็ปลอดภัย รวมถึงการเดินทางสะดวกขึ้น การสื่อสารไวขึ้น ข้อมูลความรู้ก็อัพเดตไวมากๆ ฉะนั้น หากเราจะช๊อป สินค้าแรกคลอด เตรียมคลอด ให้ลูก ก็เป็นการง่ายขึ้น ทั้งระบุสีเมื่อทราบเพศลูกแล้ว ระบุได้ว่าจะคลอดเมื่อไหร่ (วันรับประกันถึงจะมีผล) รู้แทบจะหมดทุกเรื่อง การเลือกซื้อสินค้าก่อนคลอดนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ผิด กลับพบแต่ข้อดี อาทิเช่น มาช้อปก่อนได้เลือกอย่างที่อยากได้ , สินค้าบางตัวต้องคุยกับคุณแม่ถึงจะเข้าใจ , คุณพ่อหรือคนอื่นมาซื้อไม่ถูกใจ ,ราคาดีแคมเปญโดนใจ ,เตรียมพร้อมไว้เผื่อฉุกเฉินจะได้หยิบใช้ทันท่วงที ฯลฯ อีกทั้งคุณแม่ยังมีความปลื้มปริ่ม(มีความสุขสุดๆ) ที่คุณพ่อพาไปช้อปปิ้งอีกด้วย
          ก่อนจะจบหัวข้อนี้ ขออยากให้คุณแม่ลองดูบริบทของบ้านเราด้วยค่ะ ว่าหากซื้อเข้าบ้านไปก่อนคลอดแล้วทุกคนในบ้านไม่ว่าอะไรก็ดีไป แต่ถ้าบ้านไหนไม่โอเคเข้า แนะนำทริคเล็กๆ นะคะ
                    3.1 ให้คุณแม่พาคุณพ่อมา จิ้มๆๆสินค้าไว้ก่อน แล้วพอคลอด ค่อยให้คุณพ่อมาหยิบช้อปไป
                    3.2 ให้ซื้อแต่เข้าคนละบ้าน พูดง่ายๆ คือ ซื้อแล้วแอบไว้ค่ะ^^
                    3.3 พาคนที่ไม่โอเค มาช้อปปิ้งเลยค่ะ บอกว่าพามาดูๆไว้ก่อน พอเข้าร้านสินค้าแม่และเด็กไป รับรองค่ะ เดินออกมามีความสุขทุกคน เพราะสินค้ามันน่ารักๆ โดนใจ ถูกใจแน่นอนค่ะ ยังไงก็ต้องมีติดไม้ติดมือไปละคะ

4. คนท้อง ห้ามไปงานศพ / ห้ามดูการคลอด
          อันนี้แอดมินเห็นว่าจริงที่สุดค่ะ ไม่ใช่ว่าด้วยเรื่องผี หรือวิญญาณอะไรนะคะ แต่ด้วยการที่บรรยากาศในงานศพมันค่อนข้างเศร้าโศกเสียใจ หากคุณแม่ไป จะทำให้เกิดอารมณ์หม่นหมองได้ ซึ่งหากมากเข้าก็จะส่งผลต่อลูกในท้องได้เช่นเดียวกัน
อันที่จริงๆ คล้ายๆกับการ ห้ามคนท้อง ดูการคลอด พูดง่ายๆคือ ดูแล้วจะกลัวนั่นเองค่ะ

5. ห้ามคนท้อง ตอกตะปู หรือเย็บผ้า
          อันนี้แอดมินเห็นว่าก็จริงอีกเช่นกันค่ะ เพราะมองว่าการที่ต้องทำงานหนักหรือเย็บผ้า หรือทำอะไรที่มีการเสี่ยงอันตรายนั้น คุณแม่ก็ไม่ควรทำอยู่แล้วค่ะ หน้าที่ของคุณพ่อที่ต้องทำแทนแล้วหละ เพราะคุณแม่หากทำอะไรที่เสี่ยง หากเกินอันตรายขึ้นก็จะไม่ปลอดภัย ดีไม่ดี อันตรายบางอย่างอาจส่งผลต่อลูกน้อยก็เป็นได้ หากจำเป็นต้องทำ ก็ให้คุณพ่อช่วยก็แล้วกันนะคะ รักตัวเองแล้วก็ต้องรักลูกน้อยด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

6. ร้องเพลง อ่านนิทานให้ลูกในท้องฟัง จะช่วยเสริมพัฒนาการ
          หัวข้อนี้พบว่าเป็นไปได้มาก อนึ่ง เมื่อคุณแม่อ่านหรือได้ฟัง คุณแม่ก็มีอารมณ์ดี จิตใจแจ่มใส ลูกน้อยก็จะมีปฏิกิริยาโตตอบอย่างเห็นได้ชัด เช่น ดิ้น ถีบ ขึ้นมา เพื่อแสดงว่าลูกน้อยรับรู้ถึงความสุขที่ส่งผ่านมาจากคุณแม่นั่นเอง